หน่วยที่ 1 เทคโนโลยีกับชีวิต
เรื่องที่ 1 ปัจจัยการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
เคยสงสัยมั้ยว่า ทำไมโทรศัพท์มือถือที่เราใช้ทุกวันนี้ มันถึงต่างกับโทรศัพท์บ้านรุ่นเก่าๆ ที่คุณปู่คุณย่าเราเคยใช้แบบคนละเรื่องเลย? จากที่ต้องใช้นิ้วหมุนๆ… กลายมาเป็นปุ่มกด… จนตอนนี้เป็นจอสัมผัส ทำได้ทุกอย่าง
➡️ ➡️
คำถามสำคัญคือ… “ทำไมมันถึงต้องเปลี่ยนล่ะ?” อยู่แบบเดิมไม่ได้เหรอ?
คำตอบก็คือ… เพราะมันมี “ปัจจัย” (Factors) หรือ “เหตุผล” บางอย่าง มาผลักดันให้คนเราต้องคิดค้นและพัฒนาของใหม่ๆ ตลอดเวลาครับ
ในคาบนี้ เราจะมาดูกันว่า 5 ปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้เทคโนโลยีมันเปลี่ยนไป มีอะไรบ้าง
🚀 5 ปัจจัย ที่ทำให้เทคโนโลยีเปลี่ยนไป
1. เพราะ “เราอยากได้” (ความต้องการของมนุษย์) นี่คือเหตุผลง่ายๆ ที่สุดเลยครับ มนุษย์เรามีความ “อยาก” ไม่สิ้นสุด…
- อยากสื่อสารกับคนที่อยู่ไกลๆ ได้เร็วขึ้น (ไม่อยากรอจดหมายเป็นอาทิตย์) ➡️ ก็เลยเกิด “โทรศัพท์”
- อยากเดินทางไปที่ต่างๆ ได้เร็วขึ้น (ไม่อยากขี่ม้า) ➡️ ก็เลยเกิด “รถยนต์”
- อยากดูหนังที่บ้านเมื่อไหร่ก็ได้ (ไม่อยากรอทีวีฉาย) ➡️ ก็เลยเกิด “Netflix”
2. เพราะ “เราเจอปัญหา” (การแก้ปัญหา) หลายครั้ง เทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นเพราะเราเจอปัญหาที่ต้องรีบแก้ครับ
- ปัญหา: ขยะพลาสติกล้นโลก ย่อยสลายยาก ➡️ เทคโนโลยีที่เกิด: “พลาสติกชีวภาพ” (ที่ย่อยสลายได้), “หลอดดูดน้ำจากกระดาษหรือพืช”
- ปัญหา: เกิดโรคระบาด (อย่างโควิด-19) คนออกจากบ้านไม่ได้ ➡️ เทคโนโลยีที่เกิด: “แอปประชุมออนไลน์” (Zoom, Google Meet), “แอปเรียนออนไลน์”
- ปัญหา: เกษตรกรรดน้ำพืชผักไม่ทั่วถึง เปลืองน้ำ ➡️ เทคโนโลยีที่เกิด: “ระบบน้ำหยด”, “โดรนเพื่อการเกษตร”
3. เพราะ “เราเก่งขึ้น” (ความก้าวหน้าของศาสตร์ต่างๆ) เมื่อมนุษย์เรา “รู้” อะไรใหม่ๆ หรือ “เก่งขึ้น” ในด้านวิทยาศาสตร์หรือคณิตศาสตร์ เราก็จะเอาความรู้นั้นมาสร้างของใหม่ๆ ได้
- พอเราค้นพบ “ไฟฟ้า” ➡️ เราก็สร้าง “หลอดไฟ”, “พัดลม”, “ตู้เย็น” ได้
- พอเรามี “อินเทอร์เน็ต” ➡️ เราก็สร้าง “เว็บไซต์”, “E-mail”, “Facebook” ได้
- พอเราเก่งเรื่อง “AI” (ปัญญาประดิษฐ์) ➡️ เราก็สร้าง “ChatGPT” หรือ “AI วาดรูป” ได้
4. เพราะ “สังคมเราเปลี่ยนไป” (ปัจจัยเศรษฐกิจและสังคม) วิถีชีวิตของคนในสังคมที่เปลี่ยนไป ก็บังคับให้เทคโนโลยีต้องเปลี่ยนตามครับ
- สังคม/เศรษฐกิจ: คนใช้ชีวิตเร่งรีบ ไม่มีเวลาทำกับข้าว, อยากได้ของเร็วๆ ➡️ เทคโนโลยีที่เกิด: “แอปสั่งอาหาร” (Food Delivery), “การซื้อของออนไลน์” (Shopee, Lazada)
- สังคม: ประเทศไทยมีผู้สูงอายุมากขึ้น อยู่บ้านคนเดียวเยอะขึ้น ➡️ เทคโนโลยีที่เกิด: “นาฬิกาอัจฉริยะ” (Smart Watch) ที่คอยวัดหัวใจ หรือแจ้งเตือนเมื่อผู้สูงอายุล้ม
5. เพราะ “เราต้องรักษ์โลก” (ปัจจัยสิ่งแวดล้อม) พอเราเริ่มรู้ว่าโลกกำลังแย่ ปัญหาสิ่งแวดล้อมมันรุนแรง เราก็ต้องสร้างเทคโนโลยีใหม่ๆ มาช่วยโลก
- ปัญหา: ภาวะโลกร้อน, น้ำมันจะหมดโลก, อากาศมีฝุ่น PM2.5 ➡️ เทคโนโลยีที่เกิด: “รถยนต์ไฟฟ้า (EV)”, “แผงโซลาร์เซลล์”, “กังหันลมผลิตไฟฟ้า”
สรุป 🎯 เทคโนโลยีมันไม่เคยหยุดนิ่ง เพราะมนุษย์เรามีความ “อยาก” (ข้อ 1), มี “ปัญหา” (ข้อ 2), “เก่งขึ้น” (ข้อ 3), “สังคมเปลี่ยน” (ข้อ 4), และต้อง “ห่วงใยโลก” (ข้อ 5) นั่นเองครับ
สไลด์สอน ทำไมเทคโนโลยีถึงต้อง “เปลี่ยน”
https://gamma.app/docs/2-ys3f0t5wlik3gvo
ไฟล์ใบงานที่ 1
เรื่องที่ 2 ผลกระทบของเทคโนโลยี
คาบที่แล้วเรารู้แล้วว่า “ทำไม” เทคโนโลยีถึงเปลี่ยนไป
คาบนี้ เราจะมาตอบคำถามที่สำคัญมากๆ คือ… “แล้วพอเทคโนโลยีมันเปลี่ยน… มันดีกับเรา 100% เลยรึเปล่า?”
คำตอบคือ… ไม่จริงครับ
⚖️ “เหรียญสองด้าน”: ผลกระทบทางบวก และ ผลกระทบทางลบ
ให้นักเรียนจำไว้เลยว่า “ไม่มีเทคโนโลยีไหนที่มีแต่ข้อดี หรือข้อเสียอย่างเดียว”
มันเหมือน “เหรียญ” ที่ต้องมี 2 ด้านเสมอ เราเรียกสองด้านนี้ว่า “ผลกระทบ” (Impact) ครับ
- ผลกระทบทางบวก (Positive Impact) = ข้อดี, ประโยชน์
- ผลกระทบทางลบ (Negative Impact) = ข้อเสีย, โทษ
ลองมาดูตัวอย่างกันชัดๆ นะครับ…
ตัวอย่างที่ 1: “รถยนต์” 🚗
- ผลบวก (+):
- เดินทางได้เร็วขึ้น
- ขนของหนักๆ หรือคนเยอะๆ ได้
- สะดวกสบาย ไม่ต้องตากแดดตากฝน
- สร้างอาชีพใหม่ๆ (คนขับแท็กซี่, ช่างซ่อมรถ)
- ผลลบ (-):
- ทำให้รถติด
- เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
- ปล่อยควันพิษ ทำให้อากาศเสีย (PM2.5)
- ต้องใช้เงินเยอะ (ค่าน้ำมัน, ค่าซ่อม)
ตัวอย่างที่ 2 (ใกล้ตัวเราสุดๆ): “โซเชียลมีเดีย” (Social Media) 📱 อย่าง TikTok, Instagram, Facebook ที่เราไถๆ กันทุกวันเนี่ย…
- ผลบวก (+):
- ติดต่อกับเพื่อนหรือครอบครัวที่อยู่ไกลกันได้ง่าย
- รู้ข่าวสารได้รวดเร็วมากๆ
- เป็นพื้นที่แสดงความสามารถของเรา (เต้น, ร้องเพลง, วาดรูป)
- ใช้หาเงินได้ (ขายของออนไลน์, เป็น Youtuber, รับรีวิว)
- ผลลบ (-):
- มี “ข่าวปลอม” (Fake News) เยอะมาก
- โดนหลอกได้ง่าย (พวกมิจฉาชีพในแชท)
- เกิดการ “บูลลี่” กันในโลกออนไลน์ (Cyberbullying)
- ทำให้เรา “เสพติด” (หยุดเล่นไม่ได้) จนเสียการเรียน
- ทำให้เรา “เปรียบเทียบ” ชีวิตตัวเองกับคนอื่นที่ดูดีในเน็ต จนเครียด
🤔 แล้วเราจะเรียน “ข้อเสีย” ไปทำไม?
คำตอบคือ… เราเรียนเพื่อที่จะ “รู้เท่าทัน” มันครับ
ในฐานะที่เราเป็น “ผู้ใช้” ➡️ การรู้ข้อเสีย ทำให้เรา “ระมัดระวัง” ในการใช้มากขึ้น เช่น ไม่หลงเชื่อข่าวปลอม, ไม่เล่นจนดึกดื่น, ไม่ไปบูลลี่ใคร
และที่สำคัญที่สุด… ในฐานะที่เราเป็น “ผู้สร้าง” (ซึ่งเป็นหัวใจของวิชาออกแบบและเทคโนโลยี) ➡️ เราต้อง “คิดถึงข้อเสีย” พวกนี้ไว้ล่วงหน้า
สรุป 🎯 นักออกแบบเทคโนโลยีที่ “เก่ง” ไม่ใช่แค่สร้างของที่ “ล้ำ” หรือ “เจ๋ง” ที่สุด… แต่นักออกแบบที่ “ดี” คือคนที่ “คิดให้รอบด้าน” ว่าเทคโนโลยีที่เราสร้าง มันจะส่งผล “บวก” และ “ลบ” อะไรต่อคนอื่น ต่อสังคม และต่อโลกใบนี้บ้าง… เพื่อที่เราจะได้หาทาง “ป้องกัน” หรือ “ลด” ข้อเสียเหล่านั้นให้น้อยที่สุดยังไงล่ะครับ!
สไลด์สอน เทคโนโลยี : เหรียญสองด้านที่ต้องรู้ให้ทัน
https://gamma.app/docs/2-nihyt5knbjdfrre
ใบงานที่ 2 บวก-ลบ คิดให้รอบด้าน
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 วัสดุ อุปกรณ์ทางเทคโนโลยี
เรื่องที่ 3 วัสดุพื้นฐานรอบตัว
1. โลกรอบตัวเราทำมาจากอะไรนะ?
ลองมองไปรอบๆ ตัวเราสิ โต๊ะ เก้าอี้ โทรศัพท์ เสื้อผ้า… ทุกอย่างล้วนทำมาจาก “วัสดุ” (Materials)
“วัสดุ” ก็คือ “เนื้อ” ของสิ่งของที่เรานำมาใช้สร้างนั่นเอง
ในฐานะนักออกแบบ การ “เลือกวัสดุ” ให้ถูกต้อง คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุด! ลองนึกภาพถ้าเราสร้างร่มด้วยกระดาษ… มันคงพังตั้งแต่โดนฝนเม็ดแรกใช่ไหมล่ะ?
2. วัสดุศาสตร์ vs วัสดุวิศวกรรม (ต่างกันยังไง?)
เวลาพูดเรื่องวัสดุ เราจะได้ยิน 2 คำนี้บ่อยๆ:
- วัสดุศาสตร์ (Materials Science):
- เปรียบเหมือน: นักวิทยาศาสตร์
- หน้าที่: หาคำตอบว่า “ทำไม?” (Why?)
- “ทำไมเหล็กถึงแข็ง?” “ทำไมแก้วถึงเปราะ?” (เน้นการ “ค้นพบ” คุณสมบัติ)
- วัสดุวิศวกรรม (Materials Engineering):
- เปรียบเหมือน: วิศวกร หรือ นักออกแบบ
- หน้าที่: หาคำตอบว่า “อย่างไร?” (How?)
- “เราจะใช้เหล็กสร้างตึกสูงๆ อย่างไรให้ปลอดภัย?” “เราจะทำยังไงให้แก้วไม่แตกง่าย (เช่น จอมือถือ)?” (เน้นการ “นำไปใช้” สร้างของ)
3. วัสดุกลุ่มหลัก: โลหะ vs อโลหะ
โลกของเราแบ่งวัสดุหลักๆ ออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ที่มีนิสัยตรงข้ามกันเลย
🔩 กลุ่มที่ 1: โลหะ (Metals)
- สมบัติเด่น:
- แข็งแรง ทนทาน
- มันวาว
- ยืดได้ (ตีเป็นแผ่นหรือดึงเป็นเส้นได้)
- นำความร้อน และ นำไฟฟ้าได้ดี
- ตัวอย่าง: เหล็ก (ทำโครงสร้าง), อะลูมิเนียม (ทำกระป๋อง, เบา), ทองแดง (ทำสายไฟ)
🧱 กลุ่มที่ 2: อโลหะ (Non-Metals)
- สมบัติเด่น:
- ส่วนใหญ่จะ ไม่นำไฟฟ้า (เป็นฉนวน)
- ไม่มันวาว
- บางชนิดก็แข็งแต่เปราะ, บางชนิดก็ยืดหยุ่น
- กลุ่มนี้มันใหญ่มาก! เรามาดู 2 กลุ่มย่อยที่เจอบ่อยๆ กัน:
- 🎈 2.1 พอลิเมอร์ (Polymers):
- นึกถึง: พลาสติก และ ยาง
- สมบัติ: เบา, ยืดหยุ่นได้, เป็นฉนวนไฟฟ้าและฉนวนความร้อน (เราเลยใช้พลาสติกหุ้มสายไฟไง!)
- ตัวอย่าง: ขวดน้ำ, ยางรถยนต์, เสื้อผ้าไนลอน
- ☕️ 2.2 เซรามิก (Ceramics):
- นึกถึง: แก้ว และ เครื่องปั้นดินเผา
- สมบัติ: แข็งมาก, ทนความร้อนสูงมาก, เป็นฉนวนที่ดี… แต่ เปราะ (ตกแล้วแตก)
- ตัวอย่าง: จานชาม, กระเบื้องปูพื้น, แก้วน้ำ
- 🎈 2.1 พอลิเมอร์ (Polymers):
ในคาบนี้ เราได้รู้จักวัสดุพื้นฐานที่เป็น “ตัวเอก” รอบตัวเราแล้ว คาบหน้าเราจะไปดูวัสดุที่ “ล้ำกว่า” และ “มนุษย์สร้างขึ้น” กัน!
สไลด์สอน วัสดุศาสตร์ vs วัสดุวิศวกรรม
https://gamma.app/docs/vs-2-6x9rhn6g6yuiw63
